วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

เหมา เจ๋อตุง (Mao Tse-tung )

เรียบเรียงโดย กฤตยา หงษ์คำภา


                                   เหมา เจ๋อตุง (Mao Tse-tung )


ประธานาธิบดี   เหมาเจ๋อตง 泽东
 (26 ธันวาคม1893 – 9 กันยายน1976)
บุรุษหนุ่มไฟแรงผู้นำพรรคพวกและกองทัพแดง เดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ ในปีค.ศ. 1930-1933 คือ บุคคลเดียวกับบุรุษวัย 50 เศษ ผู้สงบนิ่งท่ามกลางคลื่นมหาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ก่อนประกาศต่อปวงชน ณ ที่นั้นและชาวโลก ในวันที่ 1 ตุลาคม ปีค.ศ. 1949 ด้วยประโยคที่หนักแน่น มีพลังว่า ประชาชนจีนได้ลุกขึ้นยืนแล้ว!” และบุคคลคนเดียวกันนี้ ที่เปิดฉากการเคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1966 บุรุษผู้ทำให้การกำเนิดของ สาธารณรัฐประชาชนจีนเต็มไปด้วยเรื่องราวของหยดเลือดและหยาดน้ำตา ... นามของบุรุษผู้นั้น เหมาเจ๋อตง (ค.ศ.1893-1976)

จากประสบการณ์การเป็นนักเคลื่อนไหวในวัยหนุ่ม เหมาเจ๋อตง ได้แสดงออกถึงภาพลักษณ์ของเยาวชนผู้มีจิตใจหาญกล้า เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณนักปฏิรูปทางความคิด และภายหลังได้เป็นผู้นำการคัดค้าน การต่อสู้ และการปฏิวัติที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเท่าเทียมในสังคม เหมาเจ๋อตงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นประเทศจีนใหม่ ที่ล้มล้างอำนาจเก่า และสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับมาตุภูมิแล้ว อีกด้านหนึ่งยังเป็นมือที่ถอนรากวัฒนธรรมจีนในคราเดียวกัน

ประวัติ

              อดีตประธานาธิบดี ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง เกิดวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 (ค.ศ.1893) ในครอบครัวชาวนาพอมีอันจะกินอาศัยอยู่ในเขตชนบทชานเมืองสาวซาน มณฑลหูหนาน บิดาของเหมา เหมาอี๋ชาง เป็นคนเข้มงวด และชอบบังคับ เหมามักต่อต้านบิดาอยู่เสมอ ซึ่งมีส่วนหล่อหลอมให้เหมาเป็นคนเข้มแข็ง ชอบต่อสู้คัดค้าน อย่างไรก็ตามเหมาก็ได้รับการสั่งสอนคุณสมบัติที่ดีงามจากผู้เป็นแม่คือ ความใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และรักการใช้แรงงาน
                อายุ 8 ขวบ เข้าโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ร่ำเรียนคำสอนหลักลัทธิขงจื้อ ปลูกฝังความคิดตามจารีตโบราณ ต่อมาถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับหญิงสาวที่อายุมากกว่า ด้วยวัยเยาว์ทำให้ไม่ประสากับชีวิตครอบครัว อีกทั้งต้องการก้าวสู่โลกกว้างมากกว่ามีชีวิตปลูกพืช เลี้ยงสัตว์อยู่กับบ้านไปวันๆ ตัดสินใจขัดใจพ่อแล้วเดินทางออกจากบ้านเกิดเข้าตัวอำเภอฉางชา เรียนหนังสือในโรงเรียนตามหลักสูตรรัฐบาล เป็นนักเรียนโค่งร่วมชั้นกับเด็กเล็กๆ ต่อมาสอบเข้าเรียนต่อวิทยาลัยครูหูหนาน จากนั้นมุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง เรียนไปทำงานหน้าที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยไปด้วย และห้องสมุดนั่นเองที่เป็นคลังความรู้ให้สะสมภูมิปัญญา ทั้งแตกฉานทางอักษรศาสตร์ยอดเยี่ยม ว่ากันว่าความรู้ที่ได้จากห้องสมุดมหาวิทยาลัยปักกิ่งคือต้นทุนที่ทำให้เขาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนได้สำเร็จ เหมาทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนหนังสืออย่างจริงจัง เวลาว่างเขาเขียนบทความลงหนังสือของวิทยาลัยครู ใช้นามแฝง "เอ้อสือปาวาเซิง" หรือ "นายยี่สิบแปดขีด" ตามชื่อของเขาที่เมื่อเขียนเป็นภาษาจีนแบบตัวเต็มรุ่นเก่า จะมีทั้งหมด 28 ขีด งานเขียนส่วนใหญ่ของเหมาแสดงทัศนะวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของราชสำนักชิงซึ่งเป็นชาวแมนจู นักศึกษาหนุ่มหัวก้าวหน้าจึงเป็นที่จับตาของสายลับรัฐบาล นั่นไม่เป็นผลอะไร เพราะที่สุดเหมารวมพลคนใจเดียวกัน ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในพ.ศ. 2464 และปีเดียวกัน เขาเป็นแกนนำหยุดงานประท้วงของคนงานเหมืองแร่ที่อันหยวน เขียนหนังสือ "พลังปฏิวัติเบ่งบานออกมาจากปากกระบอกปืน" แล้วก่อตั้งกองทัพแดงกรรมกรและชาวนา ตามด้วยกองทัพปลดแอกประชาชน ปฏิบัติการ "ป่าล้อมเมือง" จนมีชัยเหนือเจียง ไค เช็ก เหมา เจ๋อ ตุง กุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาสถาปนา "สาธารณรัฐประชาชนจีน" ดำรงตำแหน่งประธานสาธารณรัฐจนถึงพ.ศ. 2512

ภาพซ้าย -เหมาเจ๋อตงกับมารดา น้องชายเหมาเจ๋อถัน (ซ้ายสุด) และเหมาเจ๋อหมิน(ที่สองจากซ้าย) ถ่ายภาพร่วมกันในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1919 ที่ฉางซา เหมาเจ๋อตง(ขวาสุด)อายุ 16 ปี ภาพขวา -ถ่ายร่วมกับบิดาเหมาอี๋ชาง (ที่สองจากซ้าย) และลุงเหมาฝูเซิง (ที่สองจากขวา) ที่ฉางซาในปีเดียวกัน

ด้านครอบครัว


ชีวิตครอบครัวเหมา เจ๋อตุง มีภรรยา 4 คน 1.นางหลัว อีซิ่ว เป็นการแต่งแบบคลุมถุงชน ซึ่งเหมาไม่ได้ยินดีนัก 2.นางหยาง ไค อุย เสียชีวิตในการทำสงครามเพื่อชาติ พ.ศ. 2464 3.นางเอ ชิ เจิ้น นายพลหญิงแห่งกองทัพแดง และ 4.เชียง ชิง ผู้นำการปฏิวัติกองทัพแดง หรือเรดการ์ดอันนองเลือดลือลั่นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาส ตร์จีนใหม่ นางฆ่าตัวตายปี 2534เหมา เจ๋อ ตุง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน

เหมา เจ๋อตง กับ เจียงไคเช็กเป็นเพื่อนกัน แต่เนื่องจาก เจียงไคเช็กเป็นมือขวาสำคัญของ ซุน ยัตเซน และมีความใกล้ชิดกับ ซุน มาก ซึ่งซุนเองก็มีแนวคิดเป็นประชาธิปไตย เจียงจึงมีแนวคิดคล้ายๆกับ ซุน นั่นคือ ประเทศจีน ต้องปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ เหมาต้องการให้จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จึงเหตุให้ทั้งคู่ไม่ถูกกันและเป็นศัตรูกันจนถึงวันเสียของทั้งคู่











ช่วงต่างๆ ในชีวิต 

ปี 1910 เริ่มเข้าเรียนในโรงเรียน จากนั้นไม่นานก็เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของดร.ซุนยัดเซ็น (การปฏิวัติซินไห่ ปี 1911) ลาออกจากโรงเรียนมาสมัครเข้ากองทหารปฏิวัติ หลังจากนั้นทำงานที่ห้องสมุด ที่นี้ทำให้เขามีโอกาสได้อ่านหนังสือมากขึ้น


ภาพนี้ถ่ายในปี 1913 เมื่อครั้งสมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยครูที่สี่ ในหูหนัน


ปี 1913 สอบเข้าเรียนวิทยาลัยครูที่หูหนัน เหมาเป็นนักศึกษาที่ขยันเรียน ขณะเดียวกันก็สนใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม และได้เข้าร่วมในการต่อสู้การคัดค้านหยวนซื่อข่าย (ประธานาธิบดีเผด็จการสมัยนั้น) และเริ่มได้รับอิทธิพลทางความคิดลัทธิมาร์กซ์

ปี 1920 เป็นครูสอนที่โรงเรียน และเปิดโรงเรียนกลางคืนสอนเยาวชนที่ด้อยโอกาส และจัดตั้งหน่วยลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้น เหมาแต่งงานกับหยางไคฮุ่ย หยางเป็นนักศึกษาหญิงได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวปฏิวัติกับเหมา จนถูกพวกกั๋วหมินตั่งจับกุมและถูกประหารชีวิต ปี 1930

เหมาเจ๋อตง (ที่สี่จากซ้าย) ค่อยๆกลายเป็นกลุ่มแนวร่วมลัทธิมาร์กซ์ ได้ร่วมจัดตั้งหน่วยลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้น และใช้เวลากลางคืนเปิดโรงเรียนสอนเยาวชนที่ด้อยโอกาส เขาได้พบกับนักศึกษาหญิงที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวปฏิวัติด้วยกัน ชื่อ หยางไคฮุ่ย และต่อมาได้แต่งงานกัน ภาพนี้ถ่ายร่วมกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว ที่เถาหยันถิงในกรุงปักกิ่ง เมื่อปี 1920


ปี 1921 เหมาเข้าร่วมการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศครั้งที่ ที่เซี่ยงไฮ้ เป็นเลขาธิการกรรมการพรรคเขตหูหนัน นำการเคลื่อนไหวในกลุ่มกรรมกร และชาวนาอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่เหมาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเคลื่อนไหวชาวนาของพรรคได้เสนอแนวทาง “ยืนหยัดการนำของชนชั้นกรรมาชีพต่อการปฏิวัติประชาธิปไตย อาศัยพันธมิตรกรรมกรชาวนาเป็นพื้นฐาน

ปี 1927 สร้างฐานที่มั่นปฏิวัติแห่งแรกขึ้นที่เขาจิ่งกังซัน จากการรวบรวมกองทหารกรรมกรและชาวนา ต่อมาเหมาได้พัฒนาแนวทางยุทธศาสตร์การปฏิวัติของจีน คือ ใช้ชนบทล้อมเมือง ยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ” ชี้นำการปฏิวัติจีนจนได้รับผลสำเร็จ
 ปี 1930 -1933 ร่วมกับ จูเต๋อ นำกองทัพแดงต้านการล้อมปราบครั้งใหญ่ของกั๋วหมินตั่ง 4ครั้ง เมื่ออำนาจการนำกองทัพถูกพวกลัทธิซุ่มเสี่ยงหวังหมิงแย่งชิงไป ทำให้พ่ายแพ้การล้อมปราบครั้งที่ จึงต้องละทิ้งฐานที่มั่น เดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ไปทางเหนือใช้เวลา ปี

ปี 1936 ได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการกลางการทหาร (เหมาได้ดำรงตำแหน่งนี้ตลอดจนถึงแก่กรรม)

 ปี 1937 - 1945 เหมานำพรรค กองทัพ และประชาชนทำสงครามประชาชนต่อต้านญี่ปุ่นด้วยยุทธวิธี “สงครามยืดเยื้อ” จนได้ชัยชนะจนได้ชัย(ซึ่งในยุคนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องล่าถอย ไปช่วยกองทัพต่อกรกับ อเมริกาที่จะรุกคืบเข้า ญี่ปุ่น)


วันที่ ตุลาคม 1949  ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน


 ปี 1943 เหมาได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องทุกสมัยจนถึงแก่กรรม


ปฎิวัติ
     

 ปี 1946 –1948 เหมาได้นำกองทัพปลดแอกและประชาชนจีน ทำสงครามทำลายการรุกโจมตีของฝ่ายเจียงไคเช็ค เขาเป็นผู้บัญชาการสู้รบในยุทธการใหญ่ 3 ครั้งได้รับชัยชนะขั้นเด็ดขาด ทำการรุกไล่ทหารเจียงต่อไปจนสามารถยึดอำนาจรัฐทั่วประเทศ

  
 ปี 1949 วันที่ 1 ตุลาคม ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง หลังการตั้งประเทศจีนใหม่ เหมาได้นำพรรคและประชาชนปฏิบัติภาระหน้าที่อันหนักหน่วงในการปรับปรุงปฏิรูปด้านต่างๆ อาทิ การปฏิรูปที่ดิน ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประชาชาติ ปรับปรุงให้อุตสาหกรรมและวิสาหกิจที่สำคัญเป็นแบบสังคมนิยม ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับการคุกคามจากต่างประเทศ ระหว่างต้นทศวรรษที่ 5 จีนต้องทำสงคราม ต่อต้านอเมริกา หนุนช่วยเกาหลี



วันที่ 1 ตุลาคม 1949  ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ผู้นำสูงสุดของจีน


ประธานเหมา ประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง ใช้สัญลักษณ์ค้อนเคียวเป็นสัญลักษณ์พรรค ก็อยู่ในภาวะสงบหลังจากที่ผ่านพ้น ภาวะสงครามและการต่อต้านจากภายใน ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด ในปีแรกของการบริหารประเทศ เหมาเน้นการเพิ่มความชำนาญและประสิทธิภาพในการปฏิรูปทางสังคมและเศรษฐกิจ และได้ให้ประชาชนทุกชนชั้นเข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจนี้ ผลตอบรับจึงเป็นที่ประทับใจและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
ปี 1950 นานาชาติเริ่มให้การยอมรับต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์มากขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งที่ทำให้การยอมรับจากนานาชาติต้องสะดุดคือเหตุการณ์ สงครามเกาหลี เนื่องจากในปี 1950 กองกำลังสหประชาชาติได้ส่งเข้าไปเกาหลีเหนือ จีนเกรงว่าจะคุกครามต่อดินแดงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นหัวใจทางด้านอุตสาหกรรม จีนจึงส่งกองทัพปลดแอกประชาชน แต่เรียกตนเองว่าอาสาสมัครประชาชนจีนเข้าไปเกาหลีเหนือตามคำเรียกร้อง ในสงครามครั้งนั้น มีประเทศที่เป็น คอมมิวนิสต์ใหญ่ๆ 2 ประเทศนั่นคือ จีนแผ่นดินใหญ่ กับ สหภาพโซเวียตเข้าช่วยเหลือเกาหลีเหนือ โดนเหมาเจ๋อตงเป็นผู้ สนับสนุน เกาหลีเหนือ




ภาพซ้าย -เหมากับสตาลิน ขณะเยือนสหภาพโซเวียต มหาอำนาจค่ายสังคมนิยมในขณะนั้นเป็นครั้งแรก ภายหลังสถาปนาจีนใหม่ ระหว่างธันวาคม ปี 1949-กุมภาพันธ์ ปี 1950 ภาพขวา -20 ปีหลังจากนั้น จีนหันมาจับมือกับมหาอำนาจฝ่ายเสรีนิยม อย่างสหรัฐอเมริกา 21 กุมภาพันธ์ ปี 1972 เหมาเจ๋อตงต้อนรับการมาเยือนของประธานาธิบดีนิกสัน หลังจากนั้น (28 กุมภาพันธ์) จีนและสหรัฐก็ได้ร่วมกันประกาศ ปฏิญญาเซี่ยงไฮ้เป็นสัญญาณว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้เข้าสู่ภาวะปรกติ


  ปี 1954 เหมาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการประชุมสมัชชาผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ ครั้งที่ 1


เหมาเจ๋อตง ในอิริยาบทต่างๆ ภาพแรก -ขณะเยี่ยมชาวนาในชนบท ที่มณฑลเหอหนัน ปี 1958 กลาง เหมาที่เซี่ยงไฮ้
                          ภาพที่สาม ที่หลูซัน ปี 1961
   ปี 1966 เนื่องจากการประเมินสถานการณ์การต่อสู้ทางชนชั้นภายในประเทศผิดพลาด เหมาได้เปิดการเคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งต่อมาถูกกลุ่มหลินเปียวและกลุ่มเจียงชิงเข้าควบคุม จนทำให้การเคลื่อนไหวขยายวงกว้าง จนเกินกว่าที่เหมาจะควบคุมได้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้นเหมาก็ได้มองเห็นความผิดพลาด และพยายามยับยั้งความเสียหายแต่ก็ไม่เป็นผล การปฏิวัติวัฒนธรรมกินเวลายาวนานถึง 10 ปี



          เหมาเจ๋อตง ผู้นำสุงสุด โจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีนักการทูตผู้โด่งดัง และเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนรุ่นที่สอง ทั้งสามนับเป็นบุคคลสำคัญที่ได้ ก่อร่างสร้างประเทศจีนใหม่ และยังอยู่ในหัวใจชาวจีนเสมอมา ซ้าย เหมากับโจวเอินไหล และขวา -กับเติ้งเสี่ยวผิง ในปี 1974

                  ทุกครั้งที่ประธานเหมาออกเยี่ยมเยือนประชาชน กลุ่มเยาวชน หรือกรรมกรชาวนา จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ซ้าย เหมากับ   กลุ่มตัวแทนเยาวชนแนวร่วมประชาธิปไตยใหม่ ในปี 1957 ขวา เหมาเยี่ยมโรงเรียนในเสาซัน บ้านเกิดที่หูหนัน มิถุนายน ปี

ปี 1976 วันที่ 9 กันยายน 1976 เหมาถึงแก่กรรมที่กรุงปักกิ่ง รวมอายุ 83 ปี มีบุตร 5 คน ชาย 3 หญิง 2
หลักการของเหมาเจ๋อตุง

หลักการของเหมาเจ๋อตุงนั้นเน้นการใช้อำนาจเด็ดขาด หรือวิธีการเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุงเห็นว่าอำนาจนั้นจะได้มาก็ด้วยการปฏิวัติ ดังคำกล่าวว่า อำนาจรัฐเกิดจากกระบอกปืนกล่าวคือ หลักการของเราคือ พรรคบัญชาปืน จะยอมให้ปืนมาบัญชาพรรคไม่ได้เป็นอันขาด แต่เป็นความจริงที่เมื่อมีปืนแล้ว ก็สามารถสร้างพรรคขึ้นมาได้เหมาเจ๋อตุงย้ำว่า การปฏิวัติเป็นการต่อสู้โดยไม่ต้องคำนึงหรือนำพาต่อคำคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น

จุดมุ่งหมายของเหมาเจ๋อตุง
1.             ในด้านเศรษฐกิจ เหมาเจ๋อตุงเน้นความสำคัญ หรือความทุกข์ร้อนของชาวไร่ ชาวนามากยิ่งกว่าความทุกข์ร้อนของชนชั้นกรรมาชีพ ฉะนั้น เหมาเจ๋อตุงจึงมุ่งการปฏิวัติเพื่อชนบทโดยใช้กลยุทธ ป่าล้อมเมืองและใช้ระบบคอมมูน ซึ่งเป็นเขตการเกษตรกรรม อันประกอบด้วยกองผลิตเล็ก และกองผลิตใหญ่
 
2.             เหมาเจ๋อตุงมีความปรารถนาอย่างแน่วแน่ และจริงจัง ในการวางรากฐานของระบบคอมมิวนิสต์ในเอเชีย โดยใช้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นศูนย์กลาง เพื่อเผยแพร่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้บรรลุเป้าหมาย ฉะนั้น คอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ได้ยึดถือแนวความคิดของเหมาเจ๋อตุงเป็นหลักการในการดำเนินการที่เรียกว่า ลัทธิเหมา” (Maoism)

เหมาเจ๋อตุงได้เรียกวิธีการของตนว่า ประชาธิปไตยแผนใหม่ซึ่งเน้นความสำคัญในการรวมกลุ่มชาวไร่ ชาวนา กรรมกร ปัญญาชน และนายทุน เข้ามาเป็นแกนกลางของคอมมิวนิสต์ เพื่อสนับสนุนการปฏิวัติ
 
3.             เหมาเจ๋อตุงให้ความสำคัญของการต่อสู้ด้วยการใช้กำลังพลและอาวุธ โดยแสดงออกในรูปของสงครามปลดปล่อย ซึ่งมีทหารป่า และกองโจรติดอาวุธเป็นหัวหอกในการขยายอิทธิพล สำหรับกลยุทธที่ทหารป่า และกองโจรดำเนินการนั้นใช้หลัก มึงมา ข้ามุด มึงหยุด ข้าแหย่ มึงแย่ ข้าตี มึงหนี ข้าตาม
นอกจากนั้น เหมาเจ๋อตุงได้ใช้ตำราพิชัยสงครามของ ซุ่นจื่อ” 3 ประการ กล่าวคือ
1.               ต้องเอาชนะจิตใจประชาชน คือการแย่งชิงปวงชน
2.             ต้องเอาชนะเพื่อให้ได้มาซึ่งเสบียงอาหาร
3.             ต้องพิชิตป้อมปราการของศัตรูให้จงได้
เหมาเจ๋อตุงได้อธิบายหลักพิชัยสงครามนี้ โดยได้อุปมาอุปไมยว่า ทหารเปรียบเสมือนปลา ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ ถ้าปลาขาดน้ำก็จะตายฉันใด ถ้าทหารอยู่ห่างไกลจากประชาชน ก็จะตายฉันนั้น

ปรัชญาการเมือง

หัวใจของปรัชญาทางการเมืองของเหมาเจ๋อตุง คือมวลชนสู่มวลชน หมายถึง นโยบายของพรรคต้องเริ่มต้นจากมวลชนโดยตรงโดยวิธีการดังนี้
1.             รวบรวมความคิดเห็นของมวลชนที่กระจายไม่เป็นระเบียบ
2.             ศึกษาความคิดเห็นที่ได้รวบรวมและเสนอผู้บังคับบัญชา
3.             ผู้บังคับบัญชาให้คำแนะนำและส่งคืนสู่ประชาชน
4.             เมื่อมวลชนยอมรับ ก็คือนโยบาย
ลัทธิมาร์กซิสตามทรรศนะของเหมาเจ๋อตุงพิจารณาถึงอดีต เพื่อเป็นแนวทาง ในการประยุกต์เพื่อปัจจุบัน และยังเชื่ออีกว่าในขณะที่สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปเรื่อยการเมืองต้องมีอำนาจบังคับบัญชาทุกอย่างได้

ความขัดแย้งในความคิดของ เหมาเจ๋อตุงมี 2 ประเภท คือ
1. ความคิดที่ขัดแย้งเกี่ยวกับตนเอง และศัตรู
2. ความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
1.             ระหว่างอุตสาหกรรมหนักกับการเกษตรกรรม
2.             ระหว่างอำนาจส่วนกลางกับท้องถิ่น
3.             ระหว่างในเมืองกับชนบท
4.             ระหว่างชนกลุ่มน้อยในชาติกับประชาชนชาวฮั่น ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ
การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ความมุ่งหมายเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างระบบรวมอำนาจทางเศรษฐกิจของชนชั้นกรรมาชีพ และปัจเจกนิยมชนชั้นกระฏุมพี ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรม

ทฤษฎีการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุง

        ระดับพัฒนาการของทุนนิยมในจีนในยุคของเหมาเจ๋อตุงนั้นไม่ได้เป็นสังคมทุนนิยมตามความหมายในลัทธิมาร์กซ์ แต่เป็นสังคมที่เหมาเจ๋อตุงเรียกว่า กึ่งศักดินา กึ่งอาณานิคมดังนั้น ในเมื่อลัทธิมาร์กซ์มิได้ผูกขาดขบวนการปฏิวัติเพื่อสังคมนิยมไว้กับวิธีการปฏิวัติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ หากเป็นลัทธิที่เปิดกว้างให้กับการนำเอากลวิธีใดก็ได้มาใช้ หากกลวิธีดังกล่าวสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้ เหมาเจ๋อตุงจึงได้พยายามศึกษาคิดค้นแนวทางดำเนินการ และกลวิธีในการทำสงครามปฏิวัติที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ตามความเป็นจริงที่ปรากฏในจีนขณะนั้น
      ในเมื่อพัฒนาการของสังคมจีนมีรากฐานทางเศรษฐกิจ (โครงสร้างขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ) ที่แตกต่างมากจากสังคมทุนนิยมของยุโรปตะวันตก การเน้นบทบาทของปัจจัยด้านอัตวิสัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามแนวทฤษฏีการปฏิวัติของลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งการเน้นบทบาท และความสำคัญของปัจจัยอัตวิสัยในการทำการปฏิวัติของจีนเป็นที่ประจักชัดจากการที่เหมาเจ๋อตุง ได้ชี้ให้เห็นว่าไม่มีการขัดกันระหว่างลัทธิจิตสำนึก (voluntarism) กับลัทธิวัตถุกำหนด (economic determinism) โดย เหมาเจ๋อตุง ยอมรับว่าวัตถุเป็นเครื่องกำหนดระบบความคิดและความคงอยู่ของสังคม และความสำนึกของบุคคลในสังคม แต่ขณะเดียวกันเขาเห็นว่าอำนาจของความสำนึกอาจเปลี่ยนสภาพวัตถุได้เหมือนกัน

พลังของจิตสำนึก (ปัจจัยอัตวิสัย) ซึ่งตามลัทธิมาร์กซ์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างส่วนบน (superstructure) จะสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ก็ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์และสัมผัสโดยตรงกับสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจการเมืองที่ปรากฏในแต่ละห้วงเวลาของประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความคิดของเหมาเกี่ยวกับการปฏิวัติจึงได้เน้นให้ความสำคัญแก่ชาวนามากกว่ากรรมกรในการทำการปฏิวัติ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเหมาปฏิเสธลัทธิมาร์กซ์เกี่ยวกับความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพในการปฏิวัติ แต่เป็นเพราะจีนในยุคของเหมา ไม่มีจำนวนกรรมกรที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพเพียงพอที่จะทำการปฏิวัติ และข้อสำคัญที่สุดคือ การที่เหมาได้มอบบทบาทหลักในการทำปฏิวัติจีนให้แก่ชนชั้นชาวนาหาไม่ได้มีความหมายว่าเหมาเจ๋อตุงได้เปลี่ยนหลักการขั้นพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ์ - เลนิน ทั้งนี้เหมาได้เน้นอีกด้วยว่าถึงแม้การปฏิวัติของจีนโดยเนื้อหาแล้วจะเป็นการปฏิวัติของชาวนา แต่การปฏิวัติดังกล่าวจำต้องนำโดยฝ่ายกรรมาชีพ หรืออีกนัยหนึ่งต้องเป็นการปฏิวัติที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์
     ลักษณะเด่นอีกด้านหนึ่งของแนวความคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุงที่มีลักษณะจำเพาะต่างจากลัทธิมาร์กซ์ - เลนิน (แต่ยังคงรักษาเนื้อหาและหลักการเดิมไว้) คือ การเปลี่ยนความคิดเดิมของลัทธิเลนินที่ว่าเส้นทางไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติมีจุดศูนย์กลางที่การลุกฮือในเมืองโดยเหมาเจ๋อตุงได้เปลี่ยนรูปแบบของการปฏิวัติโซเวียตจากเมืองสู่ชนบทเป็นชนบทสู่เมือง โดยเน้นลักษณะการทำสงครามปฏิวัติที่ยืดเยื้อมีชนบทเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนาจปฏิวัติ นอกจากนั้นโดยที่จีนยุคปฏิวัติตกอยู่ภายใต้การรุกรานและยึดครองของญี่ปุ่นจึงนับเป็นการเปิดโอกาสให้เหมาเจ๋อตุงทำการโยงปัญหาการปฏิวัติเข้าโดยตรงกับปัญหาความอยู่รอดของจีน ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเรียกร้องการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากจนประสบชัยชนะในที่สุด

ประเมินผลงานของเหมา เจ๋อตุง
หลังจากเหมาถึงแก่กรรม 5 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการประเมินผลงานและความผิดพลาดของเหมาอย่างรอบด้าน ได้ข้อสรุปว่า แม้ในบั้นปลายชีวิต เหมาจะได้ทำความผิดพลาดที่ร้ายแรง ในเหตุการณ์เคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เมื่อเทียบกับผลงานอันใหญ่หลวง และยาวนานที่ท่านสร้างให้แก่แผ่นดินและประชาชนจีน คุณความดีของท่านมีมากกว่าความผิดพลาด ประธานเหมาเจ๋อตงยังคงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่เคารพรักของประชาชนจีน สำหรับทฤษฎีความคิดของเหมาเจ๋อตง ซึ่งผ่านการวิเคราะห์และพัฒนามาจากลัทธิมาร์กซ์บวกกับสภาพที่เป็นจริงของประเทศจีน ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมเฉพาะกับประเทศจีน และเป็นตัวชี้นำการปฏิวัติของจีนจนได้รับชัยชนะ ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งที่พรรคยึดถือเป็นความคิดชี้นำต่อมา



ขอบคุณข้อมูลจาก
lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/.../mao.htm
www.baanjomyut.com

1 ความคิดเห็น: